Export
- Export APA
- Export BibTeX
- Export Ris
Publication: ผลของการจัดทรงต้น ระบบการตัดแต่งกิ่ง และการใช้สารควบคุม
การเจริญเติบโตของพืชต่อการออกดอกและคุณภาพ
ผลผลิตของมัลเบอร์รี
0
0
Resource Type
Language
tha
File Type
application/pdf
Access Rights
Open Access
Rights
Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Maejo University
Suggested Citation
Patcharapingpim Na Chiangmai, พัชรพิงค์พิมพ์ ณ เชียงใหม่ ผลของการจัดทรงต้น ระบบการตัดแต่งกิ่ง และการใช้สารควบคุม
การเจริญเติบโตของพืชต่อการออกดอกและคุณภาพ
ผลผลิตของมัลเบอร์รี, Effect Of Canopy, Pruning System And Plant Growth Regulators To Flowering And Yield Quality Of Mulberry.. สืบค้นจาก: https://hdl.handle.net/20.500.14839/416
Research Projects
Organizational Units
Journal Issue
Advisor(s)
Other Contributor(s)
Abstract
Effect of canopy training and pruning system to quantity of edible mulberry fruit (Morus alba var. Chiangmai) in 2 area. After Training a branch is T-Type and pruning branch is 1. Like a fishbone (Control) 2. Cut the old branches for change a New branches (Cane) and 3. Cut new a branches keep leave bud 1-3 bud (Spur) on 4 weeks. This research Found that, At The Office of Agricultural Research and Extension Maejo University pruning with spur gave the highest percentage of bud breaking and flowering is 88.00 and 237.58 buds, respectively. And then the mulberry fruit is ripe after harvesting. Have analyzed the data and found that pruning with spur gave the highest to average yield per branch is 143.66 fruits and yield per plant is 1,206.66 fruits and average fruit weight per plant is 4,143.65 grams. Pruning with cane gave the highest to average fruit weight per fruit is 3.43 and average fruit weight per branch is 15.80 grams. As for the pruning of the fishbone (Control) gave the lowest to quantity and weight of mulberry.
At The Royal Agricultural Station Pang Da Found that pruning with spur gave the highest percentage of bud breaking and flowering is 97.40 and 531.60 buds, respectively. And when the mulberry fruit is ripe after harvesting. Have analyzed the data and found that pruning with spur gave the highest to average yield per branch is 121.60 fruits and yield per plant is 554.60 fruits. Pruning with cane gave the highest to average fruit weight per fruit is 2.30 grams, average fruit weight per branch is 17.86 grams and average fruit weight per plant is 1,088.70 grams. As for the pruning of the fishbone (Control) gave the lowest to quantity and weight of mulberry.
The effect of plant growth regulators (PGRs) on fruit quality of mulberry were studied. The PGRs were Brassinosteroids (BRs) at concentrations 0 0.5 and 1.0 mg/l., Gibberellic acid (GA3) concentrations at 0 30 and 50 mg/l. and Auxin 3,5,6-TPA (Maxim®) concentrations at 0 20 and 30 mg/l. The PGRs applications were spraying at 7 days after flower bud breaking. The results showed that At The Office of Agricultural Research and Extension Maejo University used to BRs concentrations at 1.0 mg/l. gave the highest TSS/TA is 17.96 percent and Vitamin C is 4.50 mg/100 gFW. While, 3,5,6-TPA concentrations at 20 mg/l. gave the highest TSS is 12.16 oBrix. 3,5,6-TPA concentrations at 30 mg/l. gave the highest %TA is 1.54 percent and Anthocyanin is 187.71 mg/100 gFW. Effect of GA3 gave the lowest in quality and chemical composition within mulberry fruit, However PGRs applications had no effect on fruit weight, fruit size, color of fruit and Total Phenolic Compounds.
The effect of plant growth regulators (PGRs) on fruit quality of mulberry at The Royal Agricultural Station Pang Da Found that BRs concentrations at 0.5 mg/l. gave the highest TA is 1.33 percent. BRs concentrations at 1.0 mg/l. gave the highest TSS is 10.50 percent and TSS/TA is 13.60 percent. While, 3,5,6-TPA concentrations at 20 mg/l. gave the highest Anthocyanin is 130.59 mg/100 gFW. Spraying water (Control) gave the highest Total Phenolic Compound is 1,416.46 µg.GAE/gFW and Vitamin C is 5.00 mg/100 gFW. Effect of GA3 gave the lowest in quality and chemical composition within mulberry fruit, However PGRs applications had no effect on fruit weight, fruit size and color of fruit.
The weather conditions that affect bud breaking and flowering of mulberry. Have analyzed the data and found that an area 300 High above sea level have average temperature of 21.28 - 33.76 ๐C. The average relative humidity in the air is 63.13 - 91.23 percent. And the average rainfall is 3.23 - 3.70 millimeters. Is a suitable weather for bud breaking and flowering of mulberry. However, Should provide replacement water during the absence of rainwater for stimulate the bud breaking and should to water until harvesting.
ผลของการจัดทรงต้น และการตัดแต่งกิ่งที่มีต่อปริมาณผลของมัลเบอร์รีรับประทานสด สายพันธุ์เชียงใหม่ (Morus alba var.Chiangmai) ในพื้นที่แปลงวิจัย 2 พื้นที่ โดยการจัดทรงต้นแบบตัว T และตัดแต่งกิ่ง 3 แบบ คือ 1. ตัดแต่งกิ่งแบบก้างปลา (Control) 2. ตัดแต่งกิ่งแบบสลับกิ่งใหม่ (Cane) และ 3. ตัดแต่งกิ่งแบบตัดเดือย (Spur) หลังจากจัดทรงต้น 4 สัปดาห์ พบว่า พื้นที่แปลงวิจัยสำนักส่งเสริมวิชาการการเกษตร การตัดแต่งกิ่งแบบตัดเดือย (Spur) มีค่าเฉลี่ยการแตกตาใบ และค่าเฉลี่ยการแตกตาดอกดีที่สุด 88.00 และ 237.58 ตา ตามลำดับ และเมื่อผลมัลเบอร์รีสุกแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า การตัดแต่งกิ่งแบบตัดเดือย (Spur) ทำให้ปริมาณผลผลิตต่อกิ่งเฉลี่ยมากที่สุด 143.66 ผล ปริมาณผลผลิตต่อต้นเฉลี่ยมากที่สุด 1,206.66 ผล และน้ำหนักผลเฉลี่ยต่อต้นมากที่สุด 4,143.65 กรัม การตัดแต่งกิ่งแบบสลับกิ่งใหม่ (Cane) ทำให้มีน้ำหนักผลเฉลี่ยต่อผลมากที่สุด 3.43 กรัม และน้ำหนักผลเฉลี่ยต่อกิ่งมากที่สุด 15.80 กรัม ส่วนการตัดแต่งกิ่งแบบก้างปลา (Control) มีปริมาณ และน้ำหนักผลผลิตน้อยที่สุด ผลของการจัดทรงต้นแบบตัว T โน้มกิ่งผลผลิตแบบก้างปลา หลังจากจัดทรงต้น 4 สัปดาห์ พื้นที่แปลงวิจัยสถานีเกษตรหลวงปางดะ พบว่า การตัดแต่งกิ่งแบบเดือย (Spur) มีค่าเฉลี่ยการแตกตาใบ และค่าเฉลี่ยการแตกตาดอกดีที่สุด คือ 97.40 และ 531.60 ตา ตามลำดับ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต และได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณ และ น้ำหนักผลผลิต พบว่า การตัดแต่งกิ่งแบบตัดเดือย (Spur) มีปริมาณผลผลิตต่อกิ่งเฉลี่ยมากที่สุด 121.60 ผล และปริมาณผลผลิตต่อต้นเฉลี่ยมากที่สุด 554.40 ผล ส่วนการตัดแต่งกิ่งแบบสลับกิ่งใหม่ (Cane) มีน้ำหนักผลผลิตเฉลี่ยต่อผลมากที่สุด 2.30 กรัม น้ำหนักผลผลิตเฉลี่ยต่อกิ่งมากที่สุด 17.86 กรัม และน้ำหนักผลผลิตเฉลี่ยต่อต้นมากที่สุด 1,088.70 กรัม ส่วนการตัดแต่งกิ่งแบบก้างปลา (Control) มีปริมาณ และน้ำหนักผลผลิตน้อยที่สุด การศึกษาผลของสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชที่มีต่อคุณภาพผลมัลเบอร์รี โดยใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (PGRs) 3 ชนิด คือ บราสิโนสเตอรอยด์ (BRs) ความเข้มข้น 0 0.5 และ 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร กรดจิบเบอเรลลิก (GA3) ความเข้มข้น 0 30 และ 50 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 3,5,6-TPA (Maxim®) ความเข้มข้น 0 20 และ 30 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำการพ่นสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชหลังการแตกตาดอก 7 วัน ผลการวิเคราะห์คุณภาพและองค์ประกอบภายในผล พื้นที่แปลงวิจัยสำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร พบว่า การใช้บราสิโนสเตอรอยด์ (BRs) ความเข้มข้น 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้มีอัตราส่วนระหว่างปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ต่อปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ (TSS/TA) สูงสุด 17.96 องศาบริกซ์ และปริมาณวิตามินซีสูงสุด 4.50 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด การใช้ 3,5,6-TPA (Maxim®) ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (TSS) สูงสุด 12.16 องศาบริกซ์ การใช้ 3,5,6-TPA (Maxim®) ความเข้มข้น 30 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้ปริมาณกรดที่ไทเทรตได้สูงสุด 1.54 เปอร์เซ็นต์ และทำให้ปริมาณแอนโทไซยานินสูงสุด 187.71 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด การใช้ GA3 ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพและองค์ประกอบทางเคมีภายในผลน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามการไม่ใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (น้ำเปล่า) ไม่มีผลต่อปริมาณสารประกอบ ฟีนอลลิก ผลการวิเคราะห์คุณภาพและองค์ประกอบภายในผล พื้นที่แปลงวิจัยสถานีเกษตรหลวงปางดะ พบว่า การใช้ BRs ความเข้มข้น 5.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ส่งผลให้มีปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ (TA) สูงสุด 1.33 เปอร์เซ็นต์ การใช้ BRs ความเข้มข้น 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้มัลเบอร์รีมีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (TSS) สูงสุด 10.50 องศาบริกซ์ มีอัตราส่วนระหว่างปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (TSS/TA) 13.63 เปอร์เซ็นต์ การใช้ 3,5,6-TPA ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้ปริมาณแอนโทไซยานินสูงสุด 130.59 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด การไม่ใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (น้ำเปล่า) ทำให้มีปริมาณสารประกอบฟีนอลลิกสูงสุด 1,416.46 ไมโครกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมน้ำหนักสด และปริมาณวิตามินซีสูงสุด 5.50 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด ส่วนการใช้ GA3 ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพและองค์ประกอบทางเคมีภายในผลน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามการใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชทั้ง 2 พื้นที่ไม่มีผลต่อน้ำหนักผล ขนาดผล และสีผิวของผลมัลเบอร์รี สภาพอากาศที่มีผลต่อการแตกตาใบ และการแตกตาดอกของมัลเบอร์รี พบว่า พื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 300 เมตร มีอุณหภูมิเฉลี่ย 21.28 – 33.76 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศเฉลี่ย 63.13–91.23 เปอร์เซ็นต์ และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 3.23 – 3.70 มิลลิเมตร เป็นสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการแตกตาใบ และตาดอกของมัลเบอร์รี อย่างไรก็ตาม ควรให้น้ำทดแทนในช่วงที่ไม่มีน้ำฝน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแตกตา และควรให้น้ำไปจนถึงระยะเก็บเกี่ยวผลผลิต
ผลของการจัดทรงต้น และการตัดแต่งกิ่งที่มีต่อปริมาณผลของมัลเบอร์รีรับประทานสด สายพันธุ์เชียงใหม่ (Morus alba var.Chiangmai) ในพื้นที่แปลงวิจัย 2 พื้นที่ โดยการจัดทรงต้นแบบตัว T และตัดแต่งกิ่ง 3 แบบ คือ 1. ตัดแต่งกิ่งแบบก้างปลา (Control) 2. ตัดแต่งกิ่งแบบสลับกิ่งใหม่ (Cane) และ 3. ตัดแต่งกิ่งแบบตัดเดือย (Spur) หลังจากจัดทรงต้น 4 สัปดาห์ พบว่า พื้นที่แปลงวิจัยสำนักส่งเสริมวิชาการการเกษตร การตัดแต่งกิ่งแบบตัดเดือย (Spur) มีค่าเฉลี่ยการแตกตาใบ และค่าเฉลี่ยการแตกตาดอกดีที่สุด 88.00 และ 237.58 ตา ตามลำดับ และเมื่อผลมัลเบอร์รีสุกแล้ว หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิต ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า การตัดแต่งกิ่งแบบตัดเดือย (Spur) ทำให้ปริมาณผลผลิตต่อกิ่งเฉลี่ยมากที่สุด 143.66 ผล ปริมาณผลผลิตต่อต้นเฉลี่ยมากที่สุด 1,206.66 ผล และน้ำหนักผลเฉลี่ยต่อต้นมากที่สุด 4,143.65 กรัม การตัดแต่งกิ่งแบบสลับกิ่งใหม่ (Cane) ทำให้มีน้ำหนักผลเฉลี่ยต่อผลมากที่สุด 3.43 กรัม และน้ำหนักผลเฉลี่ยต่อกิ่งมากที่สุด 15.80 กรัม ส่วนการตัดแต่งกิ่งแบบก้างปลา (Control) มีปริมาณ และน้ำหนักผลผลิตน้อยที่สุด ผลของการจัดทรงต้นแบบตัว T โน้มกิ่งผลผลิตแบบก้างปลา หลังจากจัดทรงต้น 4 สัปดาห์ พื้นที่แปลงวิจัยสถานีเกษตรหลวงปางดะ พบว่า การตัดแต่งกิ่งแบบเดือย (Spur) มีค่าเฉลี่ยการแตกตาใบ และค่าเฉลี่ยการแตกตาดอกดีที่สุด คือ 97.40 และ 531.60 ตา ตามลำดับ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต และได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณ และ น้ำหนักผลผลิต พบว่า การตัดแต่งกิ่งแบบตัดเดือย (Spur) มีปริมาณผลผลิตต่อกิ่งเฉลี่ยมากที่สุด 121.60 ผล และปริมาณผลผลิตต่อต้นเฉลี่ยมากที่สุด 554.40 ผล ส่วนการตัดแต่งกิ่งแบบสลับกิ่งใหม่ (Cane) มีน้ำหนักผลผลิตเฉลี่ยต่อผลมากที่สุด 2.30 กรัม น้ำหนักผลผลิตเฉลี่ยต่อกิ่งมากที่สุด 17.86 กรัม และน้ำหนักผลผลิตเฉลี่ยต่อต้นมากที่สุด 1,088.70 กรัม ส่วนการตัดแต่งกิ่งแบบก้างปลา (Control) มีปริมาณ และน้ำหนักผลผลิตน้อยที่สุด การศึกษาผลของสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชที่มีต่อคุณภาพผลมัลเบอร์รี โดยใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (PGRs) 3 ชนิด คือ บราสิโนสเตอรอยด์ (BRs) ความเข้มข้น 0 0.5 และ 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร กรดจิบเบอเรลลิก (GA3) ความเข้มข้น 0 30 และ 50 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 3,5,6-TPA (Maxim®) ความเข้มข้น 0 20 และ 30 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำการพ่นสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชหลังการแตกตาดอก 7 วัน ผลการวิเคราะห์คุณภาพและองค์ประกอบภายในผล พื้นที่แปลงวิจัยสำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร พบว่า การใช้บราสิโนสเตอรอยด์ (BRs) ความเข้มข้น 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้มีอัตราส่วนระหว่างปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ต่อปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ (TSS/TA) สูงสุด 17.96 องศาบริกซ์ และปริมาณวิตามินซีสูงสุด 4.50 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด การใช้ 3,5,6-TPA (Maxim®) ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (TSS) สูงสุด 12.16 องศาบริกซ์ การใช้ 3,5,6-TPA (Maxim®) ความเข้มข้น 30 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้ปริมาณกรดที่ไทเทรตได้สูงสุด 1.54 เปอร์เซ็นต์ และทำให้ปริมาณแอนโทไซยานินสูงสุด 187.71 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด การใช้ GA3 ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพและองค์ประกอบทางเคมีภายในผลน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามการไม่ใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (น้ำเปล่า) ไม่มีผลต่อปริมาณสารประกอบ ฟีนอลลิก ผลการวิเคราะห์คุณภาพและองค์ประกอบภายในผล พื้นที่แปลงวิจัยสถานีเกษตรหลวงปางดะ พบว่า การใช้ BRs ความเข้มข้น 5.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ส่งผลให้มีปริมาณกรดที่ไทเทรตได้ (TA) สูงสุด 1.33 เปอร์เซ็นต์ การใช้ BRs ความเข้มข้น 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้มัลเบอร์รีมีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (TSS) สูงสุด 10.50 องศาบริกซ์ มีอัตราส่วนระหว่างปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (TSS/TA) 13.63 เปอร์เซ็นต์ การใช้ 3,5,6-TPA ความเข้มข้น 20 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้ปริมาณแอนโทไซยานินสูงสุด 130.59 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด การไม่ใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืช (น้ำเปล่า) ทำให้มีปริมาณสารประกอบฟีนอลลิกสูงสุด 1,416.46 ไมโครกรัมสมมูลของกรดแกลลิกต่อกรัมน้ำหนักสด และปริมาณวิตามินซีสูงสุด 5.50 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมน้ำหนักสด ส่วนการใช้ GA3 ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพและองค์ประกอบทางเคมีภายในผลน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามการใช้สารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชทั้ง 2 พื้นที่ไม่มีผลต่อน้ำหนักผล ขนาดผล และสีผิวของผลมัลเบอร์รี สภาพอากาศที่มีผลต่อการแตกตาใบ และการแตกตาดอกของมัลเบอร์รี พบว่า พื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 300 เมตร มีอุณหภูมิเฉลี่ย 21.28 – 33.76 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศเฉลี่ย 63.13–91.23 เปอร์เซ็นต์ และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 3.23 – 3.70 มิลลิเมตร เป็นสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการแตกตาใบ และตาดอกของมัลเบอร์รี อย่างไรก็ตาม ควรให้น้ำทดแทนในช่วงที่ไม่มีน้ำฝน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแตกตา และควรให้น้ำไปจนถึงระยะเก็บเกี่ยวผลผลิต
Description
Master of Science (Master of Science (Horticulture))
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (พืชสวน))
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (พืชสวน))
Degree Name
Master of Science
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต
Degree Discipline
Horticulture
พืชสวน
พืชสวน
Degree Grantor(s)
มหาวิทยาลัยแม่โจ้
